ขนมปังได้ชื่อว่าเป็นผลิตผลเพื่อยังชีวิต
เป็นสัญลักษณ์ของความดีงาม ความอบอุ่น และความปลอดภัยมานาน
ตั้งแต่สมัยคัมภีร์ไบเบิ้ล (Bibeical Times) แต่ยังไม่มีใครกล้ายืนยันว่าผู้ใดทำขนมปัง
เป็นคนแรกเท่าที่เล่าฟังกันต่อๆ มาว่า
ชาวสวิสที่อาศัยอยู่ตามทะเลสาบในยุคหินเป็นผู้ริเริ่มนำเมล็ดข้าวสาลี
มาบด โดยใช้ครกหยาบๆ ตำแล้วนำไปผสมน้ำ เทส่วนผสมนี้ลงไปบนหินร้อนๆ
เพื่อให้สุกผลที่ได้ก็คือ
ขนมปังที่ขึ้นฟูโดยไม่ตั้งใจซึ่งค้นพบมากกว่า 3,000 ปีก่อนคริสตกาล
ประวัติที่ยอมรับสืบเนื่องกันมาก
ก็คือพวกทาสในสมัยราชวงศ์อียิปต์ ได้ผสมก้อนแป้งที่ลืมทิ้งไว้ลงไปในแป้งที่ผสมเสร็จใหม่ๆ
ผลก็คือได้ขนมปังที่เบาและเลิศรส
ในปัจจุบันนี้การทำขนมปังอบนั้นนับว่าเป็นศิลปอย่างหนึ่ง
ซึ่งต้องการความชำนาญเป็นอย่างมากในกรณีที่ทำเป็น
จำนวนมากเพื่อจำหน่ายจะพบอุปสรรคนานัปการทางด้านเครื่องมือ
ทุกวันนี้ความเจริญก้าวหน้าของการทำ
ขนมอบหาได้ขึ้นอยู่กับผู้ทำอย่างเดียวไม่โรงโม่แป้งซึ่งสามารถผลิตแป้งที่มีคุณภาพดี
และผู้คิดประดิษฐ์
ที่มีส่วนที่ช่วยให้อุตสาหกรรมด้านนี้เจริญก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้งอีก
ด้วยความรู้เกี่ยวกับการทำขนมปังได้แพร่หลายจากอียิปต์ไปสู่ภูมิภาคต่างๆ
แถบเมดิเตอเรเนียนในกลุ่มของเยรูซาเล็มโบราณ
รวมทั้งเมืองเล็กเมืองน้อยที่อยู่บนเส้นทางค้าขาย
ของพวกตะวันออกกลาง
การทำผลิตภัณฑ์เบเกอรีได้เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งในยุคนั้นขนมปัง
ที่ผลิตออกมาจะมีขนาดเล็กซึ่งละม้ายคล้ายกับขนมปังโรลของเราในปัจจุบันคนโบราณส่วนมากนิยมใช้
ขนมปังแบนๆ ที่ไม่ทิ้งให้ขึ้นฟูในโอกาสพิเศษ เช่น พิธีทางศาสนา
และพวกชาวเขาจูดีน ซึ่งมีอาชีพเลี้ยงสัตว์
ก็นิยมขนมปังประเภทนี้อยู่ เนื่องจากไม่คุ้นกับอารยธรรมแผนใหม่
ไปค้าขายทางตะวัน-ออก ไปยังเปอร์เชียและไกลกว่านั้น
และดูเหมือนว่าพวกกรีกยุคแรก
ได้เรียนรู้การทำขนมปังที่ขึ้นฟูมาจากพวกกลุ่ม
โพนิเชียนในปี 1,000 ก่อนคริสตกาล
ในศตวรรษต่อมาวิวัฒนาการในศิลปการทำขนมปังก้าวหน้ามาก
พวกกลุ่มก้าวหน้ากรีกได้คิดประดิษฐ์
หินโม่-แป้งจากข้าวสาลี และผลิตภัณฑ์ออกมาถึงสี่ชนิด
ซึ่งชนิดหนึ่งนั้นเป็นแป้งขาว (White flour)
ได้ดัดแปลงเตาอบแบบอียิปต์โบราณมาเป็นเตาอบใช้อิฐก่อเป็นรูปโดม
ซึ่งมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พวกกรีกนั้นใช่แต่จะเป็นผู้ผลิตขนมปังขาวที่มีคุณภาพดีเยี่ยมเท่านั้น
แต่ยังได้ผลิตขนมเค้ก และขนมนานาชนิด
โดยใช้ส่วนผสมของนม น้ำมัน เหล้าไวน์ เนยแข็ง
และน้ำผึ้งผสมเข้าไปด้วย
ตลอดกาลสมัยเหล่านี้
จากกรีกไปโรม และเลยไปถึงยุโรปตอนกลาง ศิลปการทำขนมอบดำเนินไปอย่างเชื่องช้า
แต่ได้ผลคงที่ความเจริญก้าวหน้าอย่างมหาศาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ทำให้เกิด
วิวัฒนาการอย่างใหญ่หลวงแก่การทำขนมอบในปัจจุบัน พื้นฐานของวิวัฒนาการนี้
เนื่องมาจากสาเหตุใหญ่ 2 ประการ คือ ในกลางปี 1800 ได้มีการแนะนำเกี่ยวกับโรงโม่แป้งสาลี
และได้มีการผลิตแป้งสาลีที่ดีออกสู่ตลาด
และในตอนปลายศตวรรษนั้นได้มีการใช้ยีสต์
ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการทำให้ขนมปังขึ้นฟู
และมีการใช้อย่างแพร่หลาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น